น้ำตาลในเลือด ปฏิเสธไม่ได้ว่า น้ำตาลในเลือดเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะหากระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นหรือลงผิดปกติ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ โดยเฉพาะบริเวณดวงตา ไต ระบบประสาท หัวใจและหลอดเลือด นี่คือเหตุผลที่ผู้ป่วยควรเรียนรู้วิธีควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอยู่เสมอ
การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่แพทย์แนะนำอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย และยากสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดให้เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็น อาหาร การใช้ชีวิต การใช้ยา หรือสุขภาพร่างกาย หรือโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แต่ละปัจจัยอาจไม่ใช่เรื่องยากหากผู้ป่วยสามารถจับใจความสำคัญ หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานโดยทั่วไปควรอยู่ที่ 50-100 มก. ก่อนมื้ออาหาร หลังอาหารไม่ควรเกิน 100 มก.ต่อเดซิลิตร จึงกล่าวได้ว่าระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เป็นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ได้ผล ทั้งนี้ ผู้ป่วยอาจต้องใส่ใจปัจจัยต่างๆ หรือปรับพฤติกรรมหลายด้านตามคำแนะนำของแพทย์ที่ดูแล ดังนี้
ส่วนประกอบและปริมาณอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยจึงต้องวางแผนการรับประทานอาหารตามคำแนะนำของแพทย์ คุณควรเน้นอาหารคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้งและน้ำตาลในแต่ละมื้อ เพราะสารอาหารเหล่านี้จะทำให้ น้ำตาลในเลือด สูงขึ้นได้ อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และอาหารที่มีแคลอรีต่ำ ไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ น้ำตาล และเกลือ
นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรเน้นการรับประทานผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชเต็มเมล็ดที่มีเส้นใยอาหารสูง มีไขมันและแคลอรีต่ำ เลิกดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มน้ำสะอาดแทนเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเสมอ สารให้ความหวานหรือน้ำผลไม้ที่มีแคลอรีสูง ไม่รวมผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากเครื่องดื่มดังกล่าว จะช่วยรักษาปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดได้ตั้งแต่แรก
เรื่องนี้หลายคนอาจจะยังไม่รู้ การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายของคุณใช้น้ำตาลเป็นพลังงาน นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของฮอร์โมนอินซูลิน เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ แต่เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละคนมีวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมแตกต่างกัน พูดคุยกับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่ปลอดภัย อาหารประจำวัน และยา
โดยทั่วไป ดีที่สุดคือออกกำลังกาย 30 นาทีต่อวัน หรือประมาณ 2 ชม. ต่อสัปดาห์ การออกกำลังกายไม่จำกัดเฉพาะคาร์ดิโอ เช่น ว่ายน้ำ วิ่ง หรือเดินเร็วๆ นอกจากนี้ยังรวมถึงการทำกิจกรรมเบาๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ทำความสะอาดบ้านหรือทำสวน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรดื่มน้ำให้เพียงพอในขณะออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำซึ่งอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยบางรายอาจพักช่วงสั้นๆ เพื่อรับประทานอาหารว่างหรือของหวาน ป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
แม้ว่าผู้ป่วยจะสามารถรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับเป้าหมายได้ แต่การใช้ยารักษาโรคเบาหวานหรือการฉีดอินซูลินอย่างต่อเนื่อง ยังคงมีความจำเป็นในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการควบคุมอาหารหรือการออกกำลังกายไม่ได้ผล คุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากยาทำให้น้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป หรือหากคุณพบผลข้างเคียงหลังจากรับประทานยา วินิจฉัยและหาแนวทางการรักษาต่อไป
หากคุณต้องการใช้ยาหรือยารักษาโรคคอเลสเตอรอลสูง โดยการซื้อยาหรือซื้อยาใหม่ที่แพทย์สั่ง เช่น ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับสภาวะสุขภาพของคุณก่อนบริโภค เพราะมีผลต่อน้ำตาลในเลือด ไข้หวัดหรืออาการเจ็บป่วยที่ทำให้อาเจียน คลื่นไส้ หรือท้องร่วงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
นี่เป็นเพราะฮอร์โมนที่ต่อสู้กับโรคบางชนิดที่ร่างกายของคุณผลิตขึ้น อาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ สิ่งนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินหรือกิจวัตรประจำวัน นอกจากให้แพทย์ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด และของเสียคีโตนในปัสสาวะแล้ว และปรับขนาดยา ผู้ป่วยควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อลดอาการขาดน้ำ หากคุณยังรับประทานอาหารได้ตามปกติ คุณควรเลือกอาหารที่ย่อยง่าย เช่น เจลาตินหนังลาหรือซุป
หากคุณฉีดอินซูลิน คุณสามารถดื่มน้ำผลไม้ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหวาน หรือเครื่องดื่มเกลือแร่เป็นครั้งคราว ป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำและอย่าหยุดทานยาเบาหวานเอง โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ หากคุณมีปัญหาในการกลืนยาเม็ด คุณควรไปพบแพทย์ทันที ผู้ป่วยที่มีประจำเดือนหรือวัยหมดประจำเดือน อาจเผชิญกับความไม่แน่นอนของระดับน้ำตาลในเลือด
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ส่งผลต่อเซลล์ที่ตอบสนองต่ออินซูลิน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนหากไม่ตรวจ ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรตรวจวัด และบันทึกระดับน้ำตาลในเลือดทุกเดือน สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในอนาคต ดูแลตัวเองด้วยการรับประทานผัก ผลไม้ หรือธัญพืชให้หลากหลาย ออกกำลังกาย 30 นาทีต่อวัน และเลิกสูบบุหรี่
ความเครียดไม่เพียงส่งผลต่อสภาพจิตใจของคุณเท่านั้น แต่ก็สามารถส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้เช่นกัน นี่เป็นผลจากการหลั่งฮอร์โมนความเครียด และฮอร์โมนอินซูลินมีปริมาณน้อย และมีประสิทธิภาพต่ำ ผู้ป่วยที่เครียดอาจควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยากขึ้น ดังนั้นคุณควรหาต้นตอของความเครียดและแก้ปัญหาจากต้นตอ
ลองหากิจกรรมคลายเครียด หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นความเครียด หรือขอคำแนะนำการจัดการความเครียดที่เหมาะสมจากจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา พื้นฐานการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องมีวินัยอย่างมากในการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ตามเวลาที่แพทย์แนะนำ
เช่น หลังตื่นนอนและก่อนมื้ออาหาร หลังอาหารเย็น 2 ชั่วโมงหรือก่อนนอน เพราะวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยสังเกตอาการหรือความผิดปกติต่างๆ ได้เร็วขึ้น และได้รับการรักษาหรือปรับแผนการรับประทานอาหาร ออกกำลังกาย หรือรับยาของแพทย์ได้ทันท่วงที กรณีมีปัญหา ข้อสงสัย รวมถึงความผิดปกติอื่นๆ ควรปรึกษาหรือแจ้งแพทย์ของคุณ
บทความที่น่าสนใจ : สมาร์ตโฟน อธิบายเกี่ยวกับจะจัดการอย่างไรถ้าเด็กติดสมาร์ตโฟนตลอด